เล่าสู่กัน..(2)....

            การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่นำเสนอก่อนหน้านี้เป็นขั้นตอนที่ผู้เขียนเห็นว่าใช้กันบ่อย  แท้จริงแล้วยังมีวิธีการต่าง ๆ ในการหาประสิทธิภาพของสื่ออีกหลายวิธี 
ในที่นี้จะขอนำมาเล่าเพิ่มเติม  ซึ่งความจริงเนื้อหาเหล่านี้ก็มีอยู่แล้วในหนังสือที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ที่นำมาเสนอนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเพื่อนครูนะครับ

        การหาประสิทธิภาพของสื่อ นอกจากการตรวจสอบเนื้อหา/รูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเกณฑ์ยอมรับได้คือ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นสอดคล้อง และ เกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อโดยวิเคราะห์คะแนนจาก สูตร E1/E2 ซึ่งเกณฑ์ยอมรับได้คือ  ถ้ากลุ่มสาระที่เน้นความรู้ความจำ  ค่า E1/E2   มีค่า 80/80  ขึ้นไป ส่วนกลุ่มสาระที่เน้นทักษะ ค่า E1/E2 มีค่า 70/70  ขึ้นไปและ ค่า E1/E2ต้องมีค่าต่างกันไม่เกินร้อยละ 5 (อันนี้เพิ่มเติมจากที่เล่าไปแล้ว)

        วิธีอื่น ๆ ที่พบในหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิจัยในชั้นเรียน ได้แก่

        1  ใช้วิธีการบรรยายคุณภาพหรือเปรียบเทียบคุณภาพของวิธีการหรือนวัตกรรมหลังจากทดลองกับนักเรียนกลุ่มเล็ก ๆ แล้ว อันนี้ต้องมีความสามารถในการบรรยายหน่อย

        2  การใช้วิธีคำนวณจากค่าร้อยละ หรือ
P1:P2
เช่น  P1:P2 = 80:70 หมายถึงกำหนดคะแนนจุดผ่านร้อยละ 70 มีนักเรียนร้อยละ 80 สอบผ่าน

        3  การ
หาค่าดัชนีประสิทธิผล โดยใช้สูตร ที่นำ ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ลบด้วยร้อยละของคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน แล้วหารด้วยร้อยละของคะแนนเต็มหลังเรียน ลบด้วยร้อยละของคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน
เกณฑ์ยอมรับได้ คือค่าดัชนีประสิทธิผลมีค่าตั้งแต่ .50 ขึ้นไป
(ฟังดูแล้วอาจจะงง หาอ่านได้จากหนังสือ การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของกรมวิชาการ และ หนังสือการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ของสำนักนิเทศฯ สปช.)

          สามวิธีที่เล่าเพิ่มเติมนี้ ผู้เขียนเองก็ยังไม่เคยใช้ และไม่ค่อยเห็นแพร่หลาย(ใครเห็นที่ไหนช่วยบอกด้วย)

        ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงขั้นตอนการพัฒนาสื่อก่อนนำไปใช้จริงเท่านั้น ยังมีขั้นตอนสำคัญคือการนำไปใช้จริง ๆ กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งต้องมีการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์และสรุปผลการใช้เป็นอันดับสุดท้าย  หากมีเวลาก็จะมาเล่าสู่กันฟังต่อรวมถึงแนวการเขียนรายงานตามรูปแบบของผู้เขียน
นะครับ

หน้าที่ 2 ::: หน้าที่ 3 ::: หน้าที่ 4 ::: หน้า 5